วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

8 สิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้น

8 สิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้น

http://magicstock4u.blogspot.com/2010/07/8.html

เพื่อนๆที่รักจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือตอนแรกตั้งใจจะเป็นนักเก็งกำไรแต่กลับกลายเป็นนักลงทุนแบบตกบันไดพลอยโจน จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่นะคะ ..... แต่ถ้า 2มือล้วงกระเป๋า 2เท้าก้าวเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว ...... ขอบอกเลยค่ะว่า บรรยากาศจะคล้ายๆ เดินอยู่ในสวนสัตว์เปิด เสือ สิงห์ กระทิง แรด เพียบค่ะ ..... อันหมายถึง เราต้องเล่น money game โดยมีคู่ต่อสู้มากมาย ทั้งผู้จัดการกองทุนที่บริหารพอร์ตเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เฮดจ์ฟันด์ที่แก่กล้าประสบการณ์ลงทุนมาแล้วทั่วโลก โบรกเกอร์ที่บริหารพอร์ตของบริษัท รายใหญ่ที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพหลักมาหลายสิบปี ..... เมื่อมองคู่แข่งเราแล้ว ก็ลองมาถามตัวเองดูนะคะว่า Who am I .... How to win this game .........

หลักการเล่นหุ้นอย่างแรกนะคะ ..... อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลค่ะ ไม่ว่าจะอารมณ์โลภ อารมณ์กลัว อารมณ์เสียดาย อารมณ์เสียใจ ตลาดหุ้นมักสร้างสรรค์อารมณ์ให้นักลงทุนได้สารพัดหละค่ะและเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้แพ้เกมส์นี้นะคะ ขอบอก ........ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เวลาหุ้นลงมาราคาถูกๆคนมักไม่อยากซือ้ (กลัวรวย) ตลาดเลยวายซะงั้น แต่พอหุ้นราคาแพงๆ นักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าตลาดกันคึกคัก แล้วก็ติดหุ้นราคาสูงกันเป็นประจำค่ะ ...... ว่าแล้วเรามารู้ในสิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้นกันดีกว่านะคะ

1. ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียว เป็นจิตวิทยามวลชน .... รู้เขา รู้เรา เป็นกลยุทธที่ใช้ได้เสมอนะคะ การอ่านบทวิเคราะห์ให้มากๆทั้งของโบรกเกอร์ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ(ซึ่งหาอ่านได้ยาก) รวมถึงติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด จะช่วยเปิดมุมมองของเรา ให้Vision (วิสัยทัศน์) กว้างขึ้นค่ะ .... ยิ่งยุคนี้เป็นยุค Globalization นะคะ ข้อมูลเปลี่ยนแปลงเร็ว(มาก) ต้องตามกระแสให้ทันนะคะ .... การเล่นหุ้นที่ดี ต้องเริ่มจากการหาข้อมูล ให้มากๆแล้วมาวิเคราะห์ประมวลผล ไม่ใช่เริ่มจากคิดเองมีธงในใจ ถ้าไม่เก่งจริงอย่างหลังนี่โอกาสแพ้สูงค่ะ .....

2.การซือ้หุ้นเป็นการซื้ออนาคต ไม่ใช่ซื้อปัจจุบัน ...... หลักการคือ ให้มองไปข้างหน้าเสมอ มองว่าหุ้นตัวนั้นมีอนาคตที่ดี(มาก)รออยู่หรือไม่ ถ้ามองแล้วไม่เห็นอะไรที่ดีขึ้น ซือ้หุ้นตัวนั้นไปก็ไม่ขึ้นหรอกค่ะ ..... การศึกษาอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ดีทำให้เรารู้ประวัติ แต่อย่ายึดติดกับการวิเคราะห์อดีตนะคะ หลงทางได้ง่ายๆค่ะ ......

3.การเลือกตัวหุ้นต้องเทียบความน่าสนใจกับราคาที่จะซื้อเสมอ ..... หุ้นตัวเดียวกัน วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจไม่ดีก็เป็นได้ค่ะ ถ้าราคาแพงเกินไป ..... แล้วจะรู้อย่างไรว่าตัวไหนแพงไป ตัวไหนถูกไป ...... ก็อ่านบทวิเคราะห์แหละค่ะ serchใน net ก็ได้ อ่านเหตุผลนะคะ ไม่ใช่อ่านแค่ชื่อหุ้นแล้วบอกตัวเองแค่ว่าค่ายนั้นเชียร์ตัวนี้ ค่ายนี้เชียร์ตัวนั้น นั่นเป็นวิธีโบ(ราณ)สุดฤทธิ์ เลยค่ะ .... การดูราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ประกอบเหตุผล(ที่ส่วนใหญ่ราคาไม่ค่อยไปถึงเป้าหรอกค่ะ ) เป็นสิ่งที่ควรทำนะคะ ถ้าราคาห่างจากปัจจุบันมากมาย อย่างนี้เค้าเรียก upside gain สูงอย่างนี้ก็น่าสนนะคะ .....อีกอย่างก็คือควรดูประวัติ ฝีไม้ลายมือของของโบรกเกอร์ที่วิเคราะห์ด้วยว่าเคยวิเคราะห์แล้วแม่นยำมามากน้อยแค่ไหนด้วยนะคะ .... อย่าลืมนะคะ ย้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดในบทวิเคราะห์หุ้นคือเหตุผลค่ะ ..... เราอ่านเหตุผลแล้วก็มาประมวลเองว่าเห็นจริงด้วยหรือไม่อีกครั้งค่ะ..... การเช็คราคาในอดีตก็สำคัญค่ะ กดกราฟที่ห้องค้าดู หรือเข้าwebบางwebเค้าก็มีกราฟหุ้นรายตัวให้ดูค่ะ ถ้าราคาเพิ่งเริ่มขึ้นขณะที่เป้าหมายสูงน่าสนใจค่ะ แต่ถ้าราคาขึ้นมามากแล้วความเสี่ยงก็จะสูงตามนะคะ .....

4. ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นเพราะหุ้นพื้นฐานดี กำไรดี อนาคตดี .... หุ้นขึ้นเพราะมีคนซื้อต่างหากค่ะ เมื่อแรงซือ้มากกว่าแรงขาย แย่งกันซือ้ราคาก็ขึ้น ..... เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่รู้เขารู้เราอีกครั้งแล้วค่ะ หุ้นบางตัวมีจ้าว(เจ้าของดูแล) ..... บางตัวเป็นหุ้นพิมพ์นิยมสุดฮิตผู้เล่นมากไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร ..... ถ้าเรารู้ได้ว่าใครซือ้ใครขายอยู่ก็จะได้เปรียบค่ะ

5. หุ้นที่ได้รับความนิยมจะเปลี่ยนไปตามกระแสและสถานการณ์เสมอ ...... ต้องจับจังหวะให้ถูกนะคะ บางช่วงหุ้น Big Cap (หุ้นใหญ่) ... บางช่วงเป็นหุ้นComodities(โภคภัณฑ์) ... บางช่วงเป็นหุ้นDomestic plays (กลุ่มอิงกำลังซือ้ภายในประเทศ) .... บางช่วงเป็นหุ้น Small Cap ที่ turnaround (หุ้นเล็กที่ฟื้นตัว)..... ซึ่งบางครั้งก็ตามเทรนด์ตลาดโลก บางครั้งก็ไม่ตามอะค่ะ ....... แต่จะตามหรือไม่ตามสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความนิยมคือสตอรี่ในการเล่นมักจะโดดเด่น มองเห็นภาพของอนาคตที่ดีรออยู่ค่ะ

6.ภาวะตลาดรวมไม่มีสูตรตายตัวเช่นกัน......... SET บางครั้งก็ดูเหมือนจะอิงตลาดต่างประเทศ แต่บางครั้งก็ไม่ใช่ มีเหมือนกันที่SET เป็นตัวของตัวเอง แดงทั่วภูมิภาค SET เขียวสวนซะงั้น แต่ทั้งนี้ต้องมีที่มาและที่ไปนะคะ ทุกอย่างต้องมีเหตุผลเสมอค่ะ Macro Economics น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ .... และสมัยนี้ต้องดูตลาดตปท.ล่วงหน้าประกอบด้วย ถ้าราคาหุ้นรับรู้จากคลาดล่วงหน้าไปแล้ว พอเกิดจริงอาจไม่มีผลอีกค่ะ....... อีกอย่างหนึ่งคือfundflow หรือ ยอดฝรั่ง-กองทุน ซื้อขาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีบางค่ายเช็คคร่าวๆระหว่างการเทรดด้วยนะคะ สมัยก่อนกองทุนต่างประเทศมีอิทธิพลสูงมากในตลาดไทย ซื้อเป็นขึ้น ขายเป็นลง และไม่ค่อยแตกแถวคือหลายๆโบรกเกอร์ฝรั่งมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ....... แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปนะคะ สัดส่วนกองทุนต่างประเทศบางช่วงซือ้ขายน้อยเมื่อเทียบปริมาณการซือ้ขายรวม หรือบางครั้งแต่ละโบรกเกอร์คิดแตกต่างกันก็มีค่ะ ..........เพราะฉะนั้นการดูเทรนด์ตลาดต่างประเทศและ fundflow อาจเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาได้แต่ไม่เสมอไปนะคะ

7. ผลประกอบการบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ เป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจมหภาคฝั่งเอกชน อันหมายถึง ถ้าผลประกอบการของบริษัทต่างๆดี แนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ก็จะเป็นตัวสะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศได้คร่าวๆนั่นเองค่ะ ....หรือในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราการเจริญเติบโตประเทศหรือจีดีพีสูงย่อมสะท้อนภาพรวมของเอกชนหรือผลการดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ดีนั่นเองค่ะ ......

8 การปรับตัวลงของตลาดหุ้นหากเกิดจากปัจจัยทางการเมือง เมื่อจบลงตลาดจะสามารถตีกลับได้ในลักษณะV shape ขณะที่หากการปรับตัวลงเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวต้องใช้เวลา...... อันนี้confirmเลยค่ะ ไม่ว่าจะตั้งแต่การยุบสภา สมัยรสช. ปฏิวัติทุกยุคทุกสมัย ม๊อบเล็ก ม๊อบใหญ่ เผากันกลางเมืองเมื่อจบ ตลาดจะตอบสนองเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะว่ากันตามปัจจัยเศรษฐกิจที่เป็นอยู่อะค่ะ.... เพราะฉะนั้นหากหุ้นตกแรงจากปัจจัยการเมือง เพื่อนๆเตรียมพร้อมช้อนซือ้ได้เลยค่ะ

ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แม่หมอแอบสังเกตุจากตลาดมาหลายยุคหลายสมัย แล้วมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอะค่ะ หากเพื่อนๆคนไหนอยากแชร์ไอเดียร์ก็เชิญได้เเลยนะคะ .... เพราะตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียวค่ะ

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทียบเชิญพลพรรคแมงเม่า มารู้จักกับ Mechanical Trading System


เทียบเชิญพลพรรคแมงเม่า มารู้จักกับ Mechanical Trading System

เทรดกันมาตั้งแต่ต้นปี 2009 Set ขึ้นมาแล้ว 37% ใครที่พอร์ทตั้งแต่ต้นปีทำกำไรได้ไม่ถึง 37%

( เหมือนผม ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขาดทุนลงไปอีก ( เหมือนผมอีก ) แสดงว่า ความคิดอะไร

บางอย่างเราผิดพลาด โยนใบหุ้นไปให้หมาวิ่งคาบกลับมาแล้วแทงตาม

ยังจะได้กำไรเสียมากกว่า วันนี้ว่างๆ เลยมาแนะนำ Mechanical Trading System

ให้กับพลพรรคแมงเม่าที่ไม่สามารถทำกำไร หรือทำได้เพียงน้อยนิดในตลาดกระทิงแบบนี้

จากคุณ: seun
เขียนเมื่อ: 29 ส.ค. 52 03:36:09